Wednesday, July 1, 2009

ปีสี่แล้ว

ปีสี่แล้ว...เห็นเพื่อนเรียนจบกันแล้ว เตรียมตัวรับปริญญากัน

เห็นแล้วอยากจบบ้าง...อยากรับปริญญาพร้อมเพื่อนๆ บ้าง อยากใส่ชุดครุยจุฬาถ่ายรูปพร้อมกับเพื่อนๆ ในชุดครุย

ปีนี้ได้แต่ยืนข้างๆ เพื่อน ใส่ชุด(สวยๆ)ธรรมดา ข้างเพื่อนๆ ทั้งหญิงชายในชุดครุยขาวขลิบทองอลังการ
ปีหน้าเรารับปริญญา เพื่อนๆ จะมากันได้ไหมหนอ

แต่ก็ไม่เป็นไร
ยังไงวันที่เรารับ เราก็รับกับเพื่อนๆ อักษรของเราอยู่ดี
เพื่อนๆ ที่เราใช้เวลาทั้งวัน...(ทั้งคาบเรียน) หัวเราะด้วยกัน ไม่ฟังอาจารย์

เพื่อนที่นั่งเรียนดรรชนีและสาระสังเขปด้วยกันแล้ว อยู่ดีๆ ก็ถอนหายใจเฮือก...หันมามองหน้ากัน...เฮ้อ

นั่งๆ เรียนอยู่ก็เกิดจิตหลอนกับคำว่า สาระสังเขป หรือบรรณานุกรม จนอดคิดไม่ได้ว่า...เราต้องการเรียนอะไรกันแน่...สาธุ ขอให้ป.โท ได้เรียนอะไรที่สนุกๆ หรือที่อยากเรียนด้วยเถอะ
ก็ตอนนั่งเรียนคาบจารย์นฤมน เรานั่งคิดว่าจริงๆ ในคณะนี้อะไรที่เราอยากเรียน หรือเอ็นจอยที่จะเรียนมากที่สุด....

คำตอบคือ...ปรัชญา

พอโพล่งออกมา ฝนก็บอกว่า "เราก็เหมือนกัน"

ได้แต่คิด...เพราะกำลังนั่งเรียน "สาระสังเขป"

ถึงจะเบื่อกับวิชาเอก แต่ก็สบาย...
แล้วก็มีความสุขมากกกก....เพราะนั่งเม้า นั่งหัวเราะกับเพื่อนทั้งวัน

เราก็มารอรับปริญญาปีหน้าด้วยกันเถอะนะเพื่อนๆ จ๋า

Tuesday, June 16, 2009

โลกใบใหม่

ไม่ได้มาเชิญชวนอนุรักษ์โลกอะไรหรอก

แค่อยู่ๆ ก็นึกทึ่งโลกปัจจุบันขึ้นมาเฉยๆ...ใครจะคาดคิดว่ามนุษย์ทำตามความฝันของตนเองได้มากขึ้นเรื่อยๆ...



ช่วงนี้เราออนเอ็ม เปิดเว็บแคมบ่อยๆ

พูดถึง MSN ทุกคนคงเฉยๆ เพราะชิน...แชทกับคนได้ทั่วทุกมุมโลก (ถ้ามุมนั้นของโลกมีสัญญาณอินเตอร์เนต)

เราแชทออนเอ็มกันเป็นว่าเล่นในแต่ละวัน ทั้งคุยกับเพื่อนข้างๆ (ในห้องคอมฯ) เพื่อนฝูงที่อยู่แยกย้ายกระจัดกระจายกันไปทั่วจังหวัด ทั่วประเทศ รวมถึงไกลออกไปในอีกหลายๆ ประเทศ

มันกลายเป็นเรื่องธรรมดาๆ



เราก็เห็นมันเป็นเรื่องธรรมดามาตั้งน้าน...นาน แล้ว จนวันหนึ่งที่นัดเวลาคุยเอ็มกับเพื่อนจากอีกมุมโลก ที่กว่าจะหาเวลาให้พอเหมาะกันก็ลำบาก

คนที่ไม่รู้ว่าชีวิตนี้จะได้เจอกันอีกหรือเปล่า

ก็เลยทำให้การออนเอ็มของเรามันต่างออกไปจากทุกครั้ง ทุกครั้งที่่คุยเอ็มกับพี่แพรวที่แคนาดา คุยกับนุ้กกี้ที่อเมริกา คุยกับ เรมี หรือ เซลีน ที่ฝรั่งเศส คุยกับอูริก้าที่เยอรมัน คุยกับยุ้ยหรือพี่เหยินที่ออสเตรเลีย

เราก็ไม่เคยคิดอะไรมาก ก็คุยก็คุย...คิดไร



ทีนี้ ด้วยความที่กับเพื่อนคนนี้ (ก็ กีย์ นั่นแหละ ถ้ายังจำได้จากบล็อกที่แล้ว ฮ่าๆ)ไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกมั้ย ทำให้เวลาเราคำนวณจำนวนชั่วโมง กะให้พอดีกัน ก็พลอยครุ่นคิดไปด้วยว่า ตอนนี้เค้ากำลังทำอะไรอยู่ เวลาออนเจอกันก็ถามไถ่กันว่าเป็นยังไง กี่โมงแล้ว หรือบางทีก็แลกเปลี่ยนกันดูสถานที่ของตนเอง ว่าใครอยู๋่ยังไง บ้านเมืองหน้าตาเป็นยังไง เราก็ได้เห็นบรรยากาศที่บราซิล (นอกหน้าต่างห้องเค้า) ส่วนเค้าก็ได้เห็นห้องรกๆ (ของเรา) ที่กรุงเทพ

ได้ "เห็น" ว่าคนๆ นี้ที่อีกทวีปเค้ากำลังทำอะไรอยู่....เห็นกันไปเลย คุยกันก็ได้ ทั้งพิมพ์ ทั้งเสียง

สนุกดีนะ

ยิ่งถ้าเล่น สไกป์ยิ่งสนุก เพราะชัดทั้งภาพ ชัดทั้งเสียง ชัดยิ่งกว่าเว็บแคมในเอ็มไม่รู้กี่เท่า...เราเล่นสไกป์กับเพื่อนอีกคน...อีกทวีป รู้สึกเหมือนคุยกันอยู่ต่อหน้า ทั้งหน้าตา ท่าทาง น้ำเสียง รับรู้ได้หมด

มนุษย์ทำได้...สร้างเทคโนโลยีตามความฝันของมนุษย์...ทำเรื่องที่เป็นเหมือน "เวทย์มนต์" ในสมัยก่อน ให้กลายเป็น "เรื่องจริง" ที่แสนจะธรรมดาได้

เราลองนึกถึงสมัยก่อน หรือตามนิทาน อย่างสโนว์ไวท์ ที่แม่มดมองลงไปในบ่อน้ำ หรืออ่างกวนยา หรืออะไรสักอย่าง (คนละตอนกับกระจกวิเศษนะ เดี๋ยวจะหาว่าเพลินมั่ว) จากนั้นก็เริ่มร่ายเวทย์ แล้วก็มองเห็นว่าสโนว์ไวท์ทำอะไรอยู่ พูดอะไรอยู่กับใคร

หรือสมัยที่ยังไม่มีอุปกรณ์ไฮเทคแบบนี้...สมมติคนนึงจากมาต่างแดน แทบจะต้องตั้งตารอ นับวันนับคืนรอจดหมาย รูปถ่าย...รูปซักใบนี่เก็บกันจนแทบตายเพราะมีค่าเหลือเกิน


ลายมือก็จดจำกันเสียจนขึ้นใจ เรียกว่าหลับตาก็ปรากฏอยู่ในห้วงคำนึง

ระยะเวลายังอีกแสนยาวไกลกว่าจะได้พบเจอกัน

ผ่านมาถึงสมัยที่โทรศัพท์ได้ (คิดดูว่า อยู่ๆ มนุษย์ก็ทำให้เราได้ยินเสียงของคนที่อยู่ห่างไกลกันได้) ก็เริ่มมหัศจรรย์ขึ้นอีก...จากที่ต้องรออีกนานแสนนานกว่าจะได้ยินเสียง



จนมาถึงตอนนี้...อะไรที่เคยเป็นอุปสรรคของมนุษย์ ที่มนุษย์ใฝ่ฝันเหลือเกินที่จะเอาชนะให้ได้ มนุษย์ก็ได้ทำไปแล้วมากมายหลายอย่าง


แต่นั่นก็หมายถึงว่า...ขีดความอดทนเราก็ลดน้อยลงไปด้วย...



เราแทบไม่ต้องลิ้มรสชาติของความพากเพียร อดทน เฝ้ารอ...เอาความห่างไกล เอาเวลา มาพิสูจน์ มาวัดใจกันให้รู้ดำรู้แดง



ข้องใจอะไรก็ส่งอีเมลล์พรืดเดียว...เร็วกว่านั้นก็ทิ้งเมสเสจออฟไลน์ไว้ในเอ็มเอสเอ็น...



อยากอัพเดตอะไรให้ใครเห็น อยาก Sneak aroundใครก็แค่คลิกเข้าไปดู Face bookหรือhi5 จะโพสต์หรือคอมเมนท์อะไรตามใจชอบก็ทำได้ทันท่วงทีตามความต้องการ



ก็ลองตัดมือถือ คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เนตออกไปจากชีวิตสิ แล้วต้องห่างกับใครสักคนนานๆ ไกลๆ แล้วรออีกเป็นปีๆ ให้ใครคนนั้นกลับมา


ติดต่อกันได้เพียงจดหมาย...เขียน เขียน เขียน อ่าน อ่าน อ่าน รอ รอ รอ


เดี๋ยวนี้พวกเราคงลงแดงตายไปก่อน...หรือว่า เลิกล้มความตั้งใจที่จะ...รอคอย



แต่ Onceที่การรอคอยอันยาวนานจบลง...ความปลื้มปีติมันก็คงคุ้มค่ามากมาย



เดี๋ยวนี้เราไม่ต้องรอแล้ว


จะว่าดีมันก็ดี...ไม่ใช่ว่ามันไม่ดี


เพราะเราเอง...ก็ตกเป็นเหยื่อ (จะเหยื่อหรือทาสก็ความหมายไม่ดีทั้งคู่) ความสะดวกสบายใจโลกใบใหม่ใบนี้มิใช่น้อย



ตอนนี้อยู่มุมไหนของโลกก็คุยกันได้ เห็นหน้ากันได้ (บอกแล้วว่าถ้ามีสัญญาณ) เรียกว่าโลกทั้งใบถูกย่อให้เหลือเล็กนิดเดียวจริงๆ...



ทุกวันนี้ หน้าก็เห็นแล้ว เสียงก็ได้ยิน คุยก็คุยกันได้...ถ้าจะยังหลงเหลืออะไรที่มนุษย์ยังไม่ได้ทำเพื่อย่อโลกให้เล็กลง...สิ่งนั้นก็คือ...




...เอื้อมมือผ่านจอเข้าไปสัมผัสอีกฝ่ายได้...



...จะแก่งั่กหรือยังหนอเราตอนนั้น...


Wednesday, May 20, 2009

La mia prima Birra : เบียร์แก้วแรก

เราไม่เคยกินเบียร์มาก่อน...

ไม่เคยรู้ว่ามันต่างจากเหล้ายังไง...แบบว่าเป็นเด็กดี...รู้แต่ว่า กินค็อกเทลแล้วไม่เมา แต่กินเหล้าแล้วเมา
แต่เราก็ไม่เคยเมาสักที กินเยอะสุดตอนไปที่นั่งเล่น แต่ก็กินผสม มันก็ไม่เมา จะเอาอะไรมาก
เรียกว่าแทบไม่เคยกินเหล้าเลยก็ว่าได้... นับครั้งได้เลยมั้ง หนึ่ง สอง สาม สี่
ตอนไปเชียงดาว ธันวาปีที่แล้ว พี่ชะยังถามเลยว่ากินเหล้าได้มั้ย เราก็ตอบอย่างแข็งขัน หนักแน่น และภูมิใจ...ไม่กินค่า
พี่ชะก็ถามว่า “ไม่กิน...เลยเหรอ” เราก็ส่ายหน้า “ไม่ค่ะ”
ก็เคยกินแล้วไม่ชอบ

ทีนี้เมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมา ก่อนคลาสจะปิดวันนึง มาร์คกับพวกบราซิลก็ชวนไปดูฮอคกี้ที่บาร์ บอกว่าดูไม่เป็นก็ไม่เป็นไร ไปกันสนุกๆ เลิกเรียนเนี่ยก็ไปเลย


เรากับแซนดี้ เพื่อนสาวชาวเกาหลีปรึกษากันก็เลยตกลงไป เพราะน่าสนุกดี ที่สำคัญคือมาร์เซลโลโฆษณาว่าฮอทวิงร้านนี้อร่อยสุดๆ
พอเลิกเรียนหกโมงเย็นปุ๊บ ทั้งครูทั้งนักเรียนหลากหลายวัยก็เดินเรียงกันออกจากโรงเรียนซึ่งอยู่ใจกลางเมือง เลี้ยวซ้ายไปถนน Alberni ใกล้มาก นิดเดียวก็ถึง
ใกล้โรงเรียนมาก


บาร์นี่เปิดตั้งแต่เที่ยงจนถึงเที่ยงคืน หกโมงเย็นก็มีคนมานั่งรอดูฮอคกี้กันประปรายแล้ว โต๊ะที่เรานั่งก็มีกลุ่มที่เรียนคลาสที่สองด้วยกัน และก็มีพวกเพื่อนของโมฮัมหมัด กับเพื่อนของกีย์
โมฮัมหมัดเป็นคนซาอุฯ ส่วนกีย์ เป็นคนบราซิล เป็นโต๊ะที่นานาชาติมาก เพราะ มีหัวหน้าทีมคือมาร์ค อาจารย์หนุ่มวัยสามสิบห้า แต่หน้าตาราวคนอายุยี่สิบเจ็ด ชาวแคเนเดียนแท้ๆ


ถัดมาเป็นมาร์เซลโล หนุ่มบราซิลร่างท้วมผิวเข้ม หน้าตาเหมือนอายุยี่สิบห้า แต่ปรากฏว่าแก่กว่ามาร์คปีนึง แถมมีลูกตั้งสามคนแล้ว
ข้างๆ มาร์เซลโลคือโมฮัมหมัด หนุ่มอาหรับอายุยี่สิบแปด แต่แต่งตัวแนวเหมือนหนุ่มอายุยี่สิบสาม
มีแต่คนดูอ่อนกว่าวัยทั้งนั้น
นอกนั้นเป็นเพื่อนสาวอีกสองคนของโมฮัมหมัด แต่เป็นสาวบราซิล ส่วนหนุ่มอีกสองคนเป็นหนุ่มบราซิลเหมือนกัน เป็นเพื่อนของกีย์ คนนึงชื่ออะไรไม่รู้


อีกคนนึงชื่อกีย์...ชื่อเหมือนกีย์
แล้วก็มีแซนดี้ สาวเกาหลี อายุยี่สิบห้า แต่หน้าเหมือนอายุเท่าเรา (แปลว่าสาวอยู่)
แล้วก็มีสาวไทย ชื่อเพลิน...แต่เค้าเรียกกัน Supitcha
ข้างๆ สาวไทยคนนี้ก็คือ กีย์ ส่วนชื่อเต็มของกีย์ทั้งสองนี่อ่านยากมาก เราเพิ่งอ่านชื่อเค้าได้ในเอ็มนี่แหลt

และแน่นอนว่ากีย์เป็นคนบราซิล
โรงเรียนนี้มันเป็นอะไรมากหรือเปล่ากับคนซาอุ และคนบราซิล...แถมเกาหลีให้อีกหน่อยละกัน


สั่งฮอทวิง กับบาร์บีคิววิงมากิน มาร์เซลโลบอกว่าไม่เห็นเผ็ด แต่เมื่อวานมาร์คและกีย์ถึงกับปาดเหงื่อ เพราะ...เผ็ด
อร่อยนะ แต่ไม่เห็นเผ็ด คนไทยซะอย่าง ถ้าแค่นี้เผ็ดก็อายเด็กอนุบาล
กีย์มองเรากินฮอทวิงชิ้นที่สามแล้วไม่บ่นอะไรก็มองหน้า แล้วบอกว่า...
อย่างนี้เบียร์เธอจะไปหมดได้ยังไง...





เรื่องของเรื่องคือ ตอนแรกมาร์คถามว่ายู ดริงค์ได้หรือเปล่า เราก็บอกว่าได้ แต่ไม่มากนะ
แต่พอเห็นเขาสั่งเบียร์มาเป็น tower เราก็เริ่มอึ้ง เพราะ ไม่เคยกินเบียร์
นั่งนิ่งคิดอยู่สักแป๊บก็ส่งยิ้มหวานใส่อาจารย์ แล้วก็เผื่อแผ่ไปยังคนข้างๆ บอกว่า
I have never tried beer before.
กีย์กับมาร์คทำตาโต ถามว่า Really? So, this is your first beer?


เราก็พยักหน้า แล้วกีย์อีกคนที่เป็นเพื่อนของกีย์ (ขอเรียกกีย์แก่ กับกีย์เด็ก) ก็หันควับมา...Your first beer in Canada or in your whole life?


In my whole life ค่ะ


มีเสียงฮือฮากันทั้งโต๊ะ ทุกคนก็เลยตื่นเต้นกันใหญ่ กีย์ก็เอื้อมมือมาตบไหล่ แล้วบอกว่า...cool, you will like it.
ส่วนมาร์คก็บอกว่า ค่อยๆ กินก็แล้วกัน We don’t mind you getting drunk but I don’t want you to get drunk too fast. เพราะเบียร์มัน can go easy
เราก็เลยสงสัยว่า...กินเบียร์ละมันเมาเร็วเหรอ แรงเหรอ...ตายละวา



มาร์คก็ยิ้มบอกว่าไม่เป็นไร พวกเราทุกคนดูอยู่ จะช่วยสังเกตให้เอง ไม่ให้เราเมาเกินไป
แล้วก็หันไปบอกกีย์ว่า...เทคแคร์ออฟเฮอร์ ด้วยนะ



เราก็ยิ้มไปเรื่อย บอกว่า เราไม่เมาหรอก ไม่ต้องห่วงน่า
ทีนี้พอกีย์ส่งแก้วแรกให้เรา ทุกคนก็ลุ้นว่าเราจะชอบหรือเปล่า...กดดัน
อืม...รสชาติ ไม่เลวแฮะ




ฮอคกี้นี่เป็นกีฬาที่ดูเจ็บตัวชอบกล เคยเรียนตอนมอสี่แล้วเกลียดมาก...ไม้ก็หนัก ลูกก็เจ็บ ต้องใส่ตะกร้อครอบปากเหมือนหมาเลย
รู้สึกเหมือนพลาดนิดเดียวนี่เจ็บสาหัส
ผู้เล่นก็ต้องใส่เสื้อตัวใหญ่ๆ หนาๆ ไม่เห็นจะเท่เลย
แต่ที่นี่ฮิตกันมาก...ทีมของแวนคูเวอร์คือ Canucks มาตอนแรกสุพิชฌาย์ต้องทำงานพรีเซนต์สัญลักษณ์ทีมคานัคส์อ่ะ
จะรู้เรื่องไหมนั่น
นัดนี้สำคัญ คานัคส์แข่งกับ Black Hawk ของ Chicago คราวก่อนแข่งที่แวนฯ แต่นัดนี้แข่งที่ชิคาโก้
ทุกครั้งจะมีเสียงเฮ เสียงเชียร์ลั่นถนนไปหมด
เราดูไม่รู้เรื่องหรอก นั่งคุย นั่งกินฮอทวิง จิบเบียร์



แปลกใจเหมือนกันว่าทำไมต้องกินแอลกอฮอล์ วงสนทนาจึงครึกครื้น...มันครึกครื้นขึ้นจริงๆ นะ ทั้งที่เราว่าเราก็ไม่เมา คนอื่นก็(ยัง)ไม่เมา แล้วทุกคนก็บอกว่าเราไม่เมา

กีย์ล่อไปแก้วที่ห้า มาร์เซลโลแก้วที่สี่ เรายังละเลียดยังไม่หมดแก้วเลย หันไปมองเกมส์ฮอกกี้ในจอ นั่นคานักส์ดูจะเสียท่าชิคาโก้เสียแล้วสิ

สักแป๊บหันไปเห็นมาร์ค เริ่มแก้วที่สาม หน้าเริ่มแดง เรากับแซนดี้ก็หันมามองหน้ากัน...อาจารย์เปรี้ยวดี
มาร์คเริ่มบ่นคานัคส์ที่ทำท่าจะเพลี่ยงพล้ำตลอด...ไม่นานก็เล่าเรื่องแฟนที่เป็นคนญี่ปุ่นให้ฟัง


ฝรั่งที่นี่ส่วนใหญ่เคยชินกับคนญี่ปุ่น คนเกาหลี
ส่วนใหญ่อาจารย์ฝรั่งก็มักจะเคยใช้ชีวิตอยู่ที่ญี่ปุ่น ครั้งละหลายๆ ปี...แล้วก็ชอบมีแฟนเป็นญี่ปุ่น
มาร์คก็มีแฟนญี่ปุ่น
แล้วก็เริ่มเล่าเรื่องแฟนตัวเองให้ฟัง กีย์เพื่อนกีย์ก็หันมาชวนเรากะแซนดี้คุย คุยกันรู้เรื่องมั่งไม่รู้เรื่องมั่ง แต่ก็เข้าใจกันดี หัวเราะกันครึกครื้น
สักแป๊บทั้งวงสนทนาก็คุยเรื่องเดียวกัน เริ่มไม่มีใครสนใจฮอคกี้


เบียร์เราหมดไปแล้วแก้วนึง ทุกคนเฮ โมฮัมหมัดก็เอาไปเติมให้อีกแก้ว
พวกบราซิลหันไปส่งภาษาโปรตุเกสใส่กัน เราก็ไม่ว่าอะไร ไม่รู้ทำไมรู้สึกเหมือนคุยกะมันรู้เรื่อง


กีย์หันมา นี่ช้านแก้วที่สิบแล้วนะ...รีบๆ กินอีกสิ
ฮอทวิงกะบาร์บีคิววิงหมดแล้ว...เกมส์ก็จบแล้ว ทุกคนเลยหันมาคอนเซนเทรตกับเบียร์เราเต็มที่
พอแก้วที่สองหมด มาร์เซลโลก็ถามว่าจะเอาอีกแก้วมั้ย...กีย์เพื่อนกีย์รีบบอกว่า...จะดีเหรอ ถ้าเพิ่งเคยกิน อย่ากินต่อเลย เดี๋ยวแย่...
จริงๆ มันก็ไม่ใช่ธุระของฉันหรอก แต่พูดจริงๆ นะ...เขาว่างั้น เราก็เลย feel guilty นิดหน่อยที่กะจะเริ่มแก้วที่สาม
กีย์ก็บอกให้เอาเลยๆ แต่กีย์เพื่อนกีย์ก็ห้าม เถียงกันไปมา โมฮัมหมัดดึงแก้วไปเติมให้ซะงั้น



เราเริ่มแก้วที่สาม แต่ tower เบียร์หมดไปสี่แล้ว
ค่อยๆ ละเลียดไป คุยไป อยู่ๆ กีย์เพื่อนกีย์ก็หันมาถามด้วยความสงสัยว่า...Why are you nursing your beer?
โอ้...ได้ศัพท์ใหม่ nurse beer...ค่อยๆ ดื่ม ไม่ดื่มให้หมดสักที
เราก็งงว่าตกลงจะให้เราดื่มรึเปล่า ไหนบอกว่าไม่ควรดื่มเยอะไง

เราหันไปหาแซนดี้ สังเกตว่าแซนดี้ยังไม่ได้เติมเบียร์เลยสักครั้ง เลยลองกระซิบถามว่า...นี่แก้วแรกอยู่เลยใช่มั้ย
สาวเกาหลียิ้มมีเลศนัย หัวเราะแหะๆ...ใช่ จริงๆ อยากดื่มนะ แต่ว่าดื่มทีไรใจสั่นทุกที เลยต้องดื่มน้อยๆ อย่างนี้ล่ะ
เราก็หัวเราะ...เนี่ย ทุกคนโฟกัสแต่ว่าเราไม่เคยกินเบียร์ เลยจ้องแต่จะดูว่าเรากินไปกี่แก้วแล้ว เมารึยัง เชียร์ให้กินอีกๆ ไม่มีใครสังเกตเลยว่าแก้วแรกเธอยังไม่หมด...


เพื่อนสาวเกาหลีหัวเราะอีกครั้ง พยักหน้าหงึกหงัก...ใช่ๆ เธออย่าไปบอกพวกเค้านะ
ไม่บอกหรอก ไม่บอก



เราไม่เมานะ แต่มันรู้สึกกำลังสบาย คุยกับใครก็สนุกไปหมด ฟังบราซิลส่งภาษาโปรตุเกสใส่กันยังอุตส่าห์ไปร่วมแจม
ร่วมแจมเพราะบังเอิญฟังออก...บางคำคล้ายภาษาฝรั่งเศส บางคำคล้ายภาษาอิตาเลียน...
ไปเจือกเรื่องเค้าว่างั้น
กีย์หันมามองหน้าเหวอ รู้ได้ยังไง...กินเบียร์ละเข้าใจปอร์ตุกีสเหรอ เราก็หัวเราะบอกว่า รู้ก็แล้วกัน


Tower เบียร์อันที่ห้ามาแล้ว ใครคนหนึ่งในโต๊ะก็พูดขึ้นมาว่า...

ทั้งหมดนี่ของสุพิชฌาย์

ทั้งโต๊ะก็เฮ...เราก็อึ้ง เอาละซี อย่ามายุหนูนะ
ไม่ทันไร ทุกคนก็ตะโกนประสานเสียงขึ้นพร้อมกันลั่นร้าน...โต๊ะอื่นคงรำคาญ

Supitcha…Supitcha…Supitcha
Take it…go on!

ไ ได้ข่าวว่าตัวตั้งตัวตีคนพูดคนแรก...คือมาร์ค แล้วมีไอ้กีย์สนับสนุน
ถ้าคิดว่าสุพิชฌาย์บ้ายุ ก็คงคิดผิด ก็แหงล่ะ ตั้ง tower คงไม่คิดว่าเราจะกินหมดหรอก…
เราก็เลยใช้วิธีแบบเพลินๆ ก็คือยิ้มเรี่ยราด ละก็หัวเราะเก้อๆ หันไปมองแซนดี้แบบ...บอกแล้ว เราโดนคนเดียว

แล้วอาจารย์คนดีก็บอกว่า...ถ้าสุพิชฌาย์กินเบียร์ได้ทั้งหมดนี่ จะเลี้ยง student ทั้งหมดเลย…(หมายความว่า เพื่อนของกีย์ที่ไม่ใช่นักเรียนมาร์คไม่เกี่ยว)


กีย์บราซิลตัวดีก็เลยรีบสวน ทำอย่างกับแย่งประมูลสินค้า

If she can finish all of the tower, I’ll pay for everyone…everyone really!
เพลินก็หันควับไปที่บราซิลตัวดีทันที...จะบ้าหรือไงฟะ

ทุกคนเฮ ส่งเสียง สุพิชฌาย์ สุพิชฌาย์


เราตาเขียวหันไปตีคนพูด (ตีกีย์ ไม่กล้าตีมาร์ค) เจ้าคนถูกตีก็เลยยิ่งนึกสนุก

Actually I will pay for everyone in the bar!

คราวนี้ไม่แค่เหวอ เราอ้าปากค้าง...

ครั้งนี้ไม่ใช่แค่ทั้งโต๊ะร้องเฮ โต๊ะอื่นในร้านก็เฮด้วย...

เหลือบมองน้ำสีเหลืองใสในเหยือกแก้วใสทรงสูงยังปริ่มเต็มขอบ...มองไปที่แก้วใครก็เห็นแต่น้ำสีเหลือง...เหลือง...และเหลือง



สุดท้ายก็ไม่มีใครแกล้งเราจริงหรอก ฮ่าๆ

กีย์บอกว่าเดี๋ยวจัดการได้เองแหละ ส่วนกีย์เพื่อนกีย์ก็ไม่ยอมให้เรากินมากกว่านี้

มาร์คบอกว่า เรากินสามแก้ว ระดับความครึ้ม ครื้นเครงก็เท่าๆ กับคนอื่นที่กินหกเจ็ดแก้ว
ดังนั้น เรากินเท่านี้กำลังดีสำหรับคนเริ่มกิน เพราะถ้ากินปริมาณเท่ากัน เราเมาแน่

ส่วนกีย์แก้วที่สิบสี่ สิบห้า เริ่มเมาจริงจัง
โมฮัมหมัด มาร์เซลโล กีย์เพื่อนกีย์ และเพื่อนๆ คนอื่น แค่มึนๆ

ที่แน่ๆ แซนดี้ไม่มีอาการใดเลย


เออ...เบียร์นี่ก็อร่อยดีแฮะ ยิ่งได้คุยครึกครื้นกับเพื่อนยิ่งสนุก แต่ก็ยังแปลกใจอยู่ดีว่า เราไม่เมาสักหน่อย แต่ทำไมมันรู้สึกครื้นเครง

ไม่เมาจริงๆ เพราะยังไปกิน hot chocolate ต่อที่ Tim Hortons สุดเลิฟกับแซนดี้อยู่เลย

แล้วก็ยังไปนั่งแย่งเฟรนช์ฟรายโมฮัมหมัดกะมาร์เซลโลที่แมคโดนัลด์ได้อย่างไม่มีปัญหาอะไร

เดินกลับบ้านได้อย่างไม่มีปัญหา ไม่พูดจาเพ้อเจ้อ

บอกแล้วว่าไม่เมา...ไม่เคยเมา อยากเมาจริงๆ ว่ามันจะเป็นยังไง
แต่คงไม่อยากเมาเบียร์หรอก เดี๋ยวอ้วน...



Monday, May 4, 2009

Mercy Killing : การุณยฆาต / เมื่อเพลินต้อง debate







ในคลาสเรียนวันศุกร์ที่ผ่านมา คลาสที่สองต้องสอบ speaking เป็นการสอบจากสำนักงานใหญ่ในโตรอนโต เพื่อวัดว่าโรงเรียนที่สาขาแวนคูเวอร์นี้จัดระดับนักเรียนได้เหมาะสมกับ level หรือไม่



นักเรียนรู้ล่วงหน้าหนึ่งวัน เตรียมตัวไม่ได้อยู่ดี เพราะครูเองก็ยังไม่รู้ว่าจะสอบยังไง รู้แต่ว่าต้องมี partner



เราก็มาแบบชิลๆ เพราะใจลอยไปถึงร้าน Lush ที่ขายมาส์คสดตรง Robson street นั่งคิดว่าจะซื้ออะไรดี ระหว่างมาส์ค Garlic หรือมาส์ค chocolate ดี



So I had no idea what kind of question I would be asked.



เราได้เป็นคู่ที่สอง จับคู่กับโมฮัมหมัด คนซาอุฯ
โรงเรียนนี้มีแต่คนซาอุฯ คนบราซิล และก็คนเกาหลีเป็นส่วนใหญ่
คลาสที่สองของเรา คนบราซิลก็ล่อไปสาม คนซาอุอีกสาม
Marc อาจารย์น่ารักมาก บอกว่าอย่าตื่นเต้น I know you can do it.
มีคำถามสามข้อ ให้เลือกว่าจะเอา number 1, 2 or 3 โมฮัมหมัดก็บอกให้สุพิชฌาย์เป็นคนเลือก...ให้เกียรติสตรี



Very kind of you โมฮัมหมัด



ได้หัวข้อห่วยอย่าโทษสุภาพสตรีคนนี้ละกันนะคะ



เราก็เลยเลือกข้อสาม ด้วยเหตุผลกลใดก็ไม่รู้ รู้แต่ว่ามันน่าจะดี



มาร์คยิ้ม...ยิ้มแบบไม่น่าไว้ใจ เราเลยร้องไปว่า
“Oh no that smile, we’ve got aa tough one, right?”
มาร์คก็เลยหัวเราะ บอกว่า ไม่ยาก แต่ก็ไม่ง่าย จากนั้นเขาก็พ่นหัวข้อออกมาเป็นชุด มีศัพท์ที่เราฟังไม่ออกเต็มไปหมด เข้าใจแต่ท่อนสุดท้าย Do you agree with that or not ?



เอาละสิ อะไรวะ มัน technical term นี่นา
เราก็เลยขอให้มาร์ค repeat the question จากนั้นก็ยังไม่เข้าใจ มาร์คก็เลย give an example ว่าถ้ามีคนป่วยมากๆ แล้วเจ้าตัวขอถอดเครื่องช่วยหายใจ จะได้ตายอย่างสงบๆ
BINGO



เข้าใจแล้ว เราก็เลยถามด้วยความตื่นเต้นทันที
“Is that Mercy Killing?”
มาร์คดีดนิ้วเป๊าะ... “Yes, you are absolutely right. I accept that word… Mercy Killing”



เสร็จเพลิน...Mercy Killing หรือ การุณยฆาต หัวข้อถนัดเลย การุณยฆาต คือ การทำให้คนตายโดยเจตนา แต่ด้วยวิธีการที่ไม่รุนแรงหรือด้วยวิธีการที่ทำให้ตายอย่างสะดวก ไม่เจ็บปวด ไม่ทรมาน



Mercy Killing คือการงดเว้นการช่วยเหลือหรือรักษาบุคคล โดยปล่อยให้ตายไปเองอย่างสงบ
ทั้งนี้ เพื่อระงับความเจ็บปวดอย่างสาหัสของบุคคลนั้น หรือในกรณีที่บุคคลนั้นป่วยเป็นโรคอันไร้หนทางเยียวยา ทั้งนี้รวมถึงสัตว์ด้วย
มีหลายวิธี ทั้งถอดปลั๊กเครื่องช่วยหายใจ ฉีดยา ดมยา อะไรก็ตามแต่
ยิ่งเคยเรียนกับอาจารย์สมภาร...ไอ้วิชาที่นั่งตั้งใจเรียน (ด้วยความชอบ) สุดชีวิตแต่กลับได้รับประทานบีบวกมาแทน

เราแอบดีใจ ดีกว่าได้หัวข้อประเภท Do you like Vancouver…or something like that. มันไม่มีอะไรให้พูด
มาร์คบอกว่าเราสองคนต้องดิสคัสกัน คนหนึ่งเป็น pro อีกคนเป็น con แต่อย่าเอาแต่จ้องจะ interrupt หรือแย้งอีกฝ่ายจนเกินไป

โมฮัมหมัดก็ดีจริง...บอกว่า You choose and I’ll take the other.
จริงๆ คิดเหตุผลออกมากมายที่จะเป็น pro คือ agree แต่ท้ายที่สุดเราก็เลือกที่จะเป็นฝ่ายแย้ง ไม่เห็นด้วย โดยเลือกจากสามัญสำนึกล้วนๆ

สำนึกที่บอกว่าเราไม่มีสิทธิ์คร่าชีวิตใคร แม้แต่ชีวิตตัวเอง
เราก็เลยเปิดคอนเวอร์ด้วยการบอกว่า เรา disagree โดยให้เหตุผลว่า



อย่างแรกคือเราเป็นชาวพุทธ และชาวพุทธนี่จะเชื่อเรื่องคุณค่าของชีวิต
และการมีชีวิต เวียนว่ายตายเกิด เป็นเรื่องของ กรรม หรือ
Karma

และเราไม่มีสิทธิ์ที่จะดับชีวิตของใคร
ไม่ว่าจะด้วยเจตนาที่ดีแค่ไหนก็ตาม



โมฮัมหมัดก็เลยยกตัวอย่างคนที่ป่วยปางตาย สมองตาย ไม่รับรู้ ไม่สามารถทำอะไรได้ การที่ครอบครัวของผู้ป่วยยื้อไว้ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร


หรือบางทีเป็นความจำนงของผู้ป่วย เช่น ผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ไม่มีทางหาย ร่างกายหมดสภาพ ได้แต่นอนรอความตาย





เขายินดีจะจากไปเสียตอนนี้ ดีกว่าอยู่อย่างทรมาน หรือเป็นภาระให้กับ
“คนรอบข้าง”

เขามองไม่เห็นแสงสว่างใดๆ ในการมีชีวิตอยู่ อยู่ไปก็ไร้ค่า อยู่ไปก็สิ้นหวัง
ชีวิตของเรา เราเลือกจบมันเองได้ไม่ใช่หรือ




ต้องโทษโมฮัมหมัดที่เสียงช่างอ่อนนุ่ม ทุ้ม ฟังแล้วเราก็คล้อยตาม คือจริงๆ มันเป็นพอยท์ที่เราคิดไว้อยู่แล้วตอนอย่างจะเป็นโปร ก็เลยไม่รู้จะค้านอะไร
ตัวแต่คิดตาม...อินมาก เลยรู้สึกพอยท์ที่ตัวเองนำมาค้านมันดูไม่มีน้ำหนัก


ไม่คิดหรือว่าชีวิตเราถูกกำหนดมาแล้วว่าจะต้องเป็นมา และเป็นไปอย่างไร...




(เราใช้คำว่า our life has been already destined. ใช้โดยที่ไม่เคยใช้มาก่อน หวั่นๆ อยู่เหมือนกัน)




มันจะไม่ดีกว่าหรือที่จะใช้ชีวิตไปจนสุดปลายทางของมัน จนจบสิ้นกระบวนการแห่งชีวิต
ให้รู้ชีวิตอย่างที่มันเป็น แม้ว่ามันจะเลวร้าย เจ็บปวด
ทุกข์ทนสักเพียงใด

การเลือกจบชีวิตตัวเอง ให้คนอื่นทำให้ หรือตัดสินใจดับชีวิตคนอื่นเพราะกลัวเขาทรมาน
ก็คือการยอมพ่ายแพ้...แพ้อย่างที่ไม่คิดจะลุกขึ้นสู้อีก

อ่อนแอ...ขี้ขลาด



เราดูไม่วิชาการเท่าโมฮัมหมัดเลย ยิ่งพูดๆ เรายิ่งรู้สึกว่า ทำไมเราออกแนว spiritual ขึ้นเรื่อยๆ
ขณะที่อาหรับคนนี้ก็แสนจะ academic พูดถึงเรื่องการบริจาคอวัยวะ

อวัยวะของผู้ป่วยที่รู้ว่าไม่รอดแน่ สามารถเป็นประโยชน์ให้กับผู้ป่วยอื่นที่ต้องการอวัยวะ เป็นการช่วยชีวิตคนอื่น ได้บุญ
อีกทั้งยังเป็นประโยชน์ต่อวงการแพทย์ วงการวิทยาศาสตร์ ถ้าอวัยวะนั้นสามารถนำไปใช้ในการทดลอง อาจจะได้การคิดค้นวิธีการรักษาใหม่ๆ

อึ้ง...เพลินอึ้ง พอยท์โคตรดี เห็นด้วยสุดใจ



มาถึงตอนนี้ไอ้หนุ่มซาอุเริ่มพูดอะไรไม่รู้ ฟังไม่รู้เรื่อง พูดรัวยาวเป็นพรืด เงี่ยหูฟังแทบตายก็ไม่เข้าใจ ไอ้เสียงนุ่มทุ้มเมื่อกี้กลายเป็นเหมือนเสียงสวดมนต์
เอาไงดีละทีนี้
เราก็ยิ้มหวานสู้



You really make a good point. I like that. However, I’m thinking of some patients who are still conscious.



เห็นด้วยน้า แต่ถ้าคิดถึงคนป่วยที่ยังมีสติดีอยู่ ถึงแม้รู้ว่าจะต้องตาย ก็ยังสามารถใช้ความรู้ ความคิด ใช้สมองคิดอะไรให้เป็นประโยชน์ต่อคนอื่นได้
(ตอนนี้พูดมั่วมาก เพราะกำลังคิดถึงคาริล ยิบราล พยายามจะโยง แต่ไม่กล้า ไม่มั่นใจว่าจำถูกหรือเปล่า)
คือพยายามจะสื่อว่า พวกเขาสามารถใช้เวลาช่วงสุดท้ายของชีวิตในการคิดใคร่ครวญสิ่งที่มีประโยชน์ให้กับตัวเองได้



เคยได้ยินว่าคาริล ยิบราล เขาก็บอกว่าการที่ได้นอนนิ่งๆ เฉยๆ เพราะป่วยนี่เป็นโชคดี ทำให้เขาได้คิดไตร่ตรองอะไรหลายๆ อย่าง ทำให้เข้าใจโลก เข้าใจชีวิต
กลายเป็นปรัชญาเมธีคนหนึ่ง
ปัญหาคือ...เราจำไม่ได้ว่าเรื่องมันเป็นอย่างนี้จริงหรือเปล่า
คนๆ นั้นคือคาริล ยิบราลหรือเปล่า หรือเป็นใครที่ชื่อใกล้ๆ กันหรือเปล่า
จะ refer ถึงเขาก็กระไร เดี๋ยวหน้าแตก




เราก็พยายามจะสื่อว่า







เราสามารถ do the best you can and make the most of
it even you’re going to die. You die with dignity not like someone who gives up
easily.




เหมือนกลอนมั้ย
แต่เราก็พูดไม่ได้อย่างนี้ทีเดียวหรอกนะ จบพอยท์ห้วนๆ ยิ้มสู้อย่างเดียว
เจ็ดนาทีพอดิบพอดี หมดเวลา

มาร์คชอบมาก...

บอกว่าคุยกันได้อย่างเป็นธรรมชาติ และ รู้ได้ว่าเธอคิดตามไปด้วยตอนโมฮัมหมัดพูด ไม่ได้สักแต่จะพูดเรื่องของตัวเอง
ชอบที่เราเปิดเรื่องด้วยการอ้างอิงศาสนา และโอนอ่อนไปตามการสนทนา ไม่ too aggressive

ว้าว จริงเหรอ ดีใจจัง
คะแนนออกมาโอเคเลย ไม่ได้อยากโม้ แต่ได้มากกว่าโมฮัมหมัดหลายคะแนน ทั้งที่โมฮัมหมัดพูดเยอะกว่า พูดน่าเชื่อถือกว่ามาก
มาร์คบอกว่าเรา fluency กว่า…
บอกตรงๆ ว่า แปลกใจแต่ก็...ดีใจจัง

เราชอบหัวข้อนี้นะ Mercy Killing



ถ้าถามแบบไม่ต้องคิดว่าจะไปสอบ จะไปดีเบทกะใคร ถึงเราจะเชื่อว่า ทำด้วยเจตนาที่ดี มันก็ไม่เป็นไรก็จริง
แต่เอาเข้าจริง มันก็เป็นการปลิดชีวิตไม่ใช่หรือ

ไม่ว่าสมองจะตาย หรือโรคที่เป็นอยู่จะร้ายแค่ไหน แต่ once เราทำอะไรสักอย่างให้เขาต้องตาย…เราก็ฆ่าเขาอยู่ดีหรือเปล่า
ถึงสมองจะตาย แต่เขายังหายใจ...การที่เรา “หยุดลมหายใจ” ของเขา เราก็เป็นคนทำให้ชีวิตเขาจบลงอยู่ดี


เจตนาดี ผลกรรมอาจไม่แรงเท่าเจตนาชั่ว
แต่เราเปลี่ยนคำได้ด้วยหรือ


ชื่อมันก็บอก...การุณยฆาต...Mercy Killing

Mercy แต่ก็ kill
ต่อให้การุณย์ แต่ ฆาต ก็คือ “ฆ่า” อยู่ดีไม่ใช่หรือ