Monday, May 4, 2009

Mercy Killing : การุณยฆาต / เมื่อเพลินต้อง debate







ในคลาสเรียนวันศุกร์ที่ผ่านมา คลาสที่สองต้องสอบ speaking เป็นการสอบจากสำนักงานใหญ่ในโตรอนโต เพื่อวัดว่าโรงเรียนที่สาขาแวนคูเวอร์นี้จัดระดับนักเรียนได้เหมาะสมกับ level หรือไม่



นักเรียนรู้ล่วงหน้าหนึ่งวัน เตรียมตัวไม่ได้อยู่ดี เพราะครูเองก็ยังไม่รู้ว่าจะสอบยังไง รู้แต่ว่าต้องมี partner



เราก็มาแบบชิลๆ เพราะใจลอยไปถึงร้าน Lush ที่ขายมาส์คสดตรง Robson street นั่งคิดว่าจะซื้ออะไรดี ระหว่างมาส์ค Garlic หรือมาส์ค chocolate ดี



So I had no idea what kind of question I would be asked.



เราได้เป็นคู่ที่สอง จับคู่กับโมฮัมหมัด คนซาอุฯ
โรงเรียนนี้มีแต่คนซาอุฯ คนบราซิล และก็คนเกาหลีเป็นส่วนใหญ่
คลาสที่สองของเรา คนบราซิลก็ล่อไปสาม คนซาอุอีกสาม
Marc อาจารย์น่ารักมาก บอกว่าอย่าตื่นเต้น I know you can do it.
มีคำถามสามข้อ ให้เลือกว่าจะเอา number 1, 2 or 3 โมฮัมหมัดก็บอกให้สุพิชฌาย์เป็นคนเลือก...ให้เกียรติสตรี



Very kind of you โมฮัมหมัด



ได้หัวข้อห่วยอย่าโทษสุภาพสตรีคนนี้ละกันนะคะ



เราก็เลยเลือกข้อสาม ด้วยเหตุผลกลใดก็ไม่รู้ รู้แต่ว่ามันน่าจะดี



มาร์คยิ้ม...ยิ้มแบบไม่น่าไว้ใจ เราเลยร้องไปว่า
“Oh no that smile, we’ve got aa tough one, right?”
มาร์คก็เลยหัวเราะ บอกว่า ไม่ยาก แต่ก็ไม่ง่าย จากนั้นเขาก็พ่นหัวข้อออกมาเป็นชุด มีศัพท์ที่เราฟังไม่ออกเต็มไปหมด เข้าใจแต่ท่อนสุดท้าย Do you agree with that or not ?



เอาละสิ อะไรวะ มัน technical term นี่นา
เราก็เลยขอให้มาร์ค repeat the question จากนั้นก็ยังไม่เข้าใจ มาร์คก็เลย give an example ว่าถ้ามีคนป่วยมากๆ แล้วเจ้าตัวขอถอดเครื่องช่วยหายใจ จะได้ตายอย่างสงบๆ
BINGO



เข้าใจแล้ว เราก็เลยถามด้วยความตื่นเต้นทันที
“Is that Mercy Killing?”
มาร์คดีดนิ้วเป๊าะ... “Yes, you are absolutely right. I accept that word… Mercy Killing”



เสร็จเพลิน...Mercy Killing หรือ การุณยฆาต หัวข้อถนัดเลย การุณยฆาต คือ การทำให้คนตายโดยเจตนา แต่ด้วยวิธีการที่ไม่รุนแรงหรือด้วยวิธีการที่ทำให้ตายอย่างสะดวก ไม่เจ็บปวด ไม่ทรมาน



Mercy Killing คือการงดเว้นการช่วยเหลือหรือรักษาบุคคล โดยปล่อยให้ตายไปเองอย่างสงบ
ทั้งนี้ เพื่อระงับความเจ็บปวดอย่างสาหัสของบุคคลนั้น หรือในกรณีที่บุคคลนั้นป่วยเป็นโรคอันไร้หนทางเยียวยา ทั้งนี้รวมถึงสัตว์ด้วย
มีหลายวิธี ทั้งถอดปลั๊กเครื่องช่วยหายใจ ฉีดยา ดมยา อะไรก็ตามแต่
ยิ่งเคยเรียนกับอาจารย์สมภาร...ไอ้วิชาที่นั่งตั้งใจเรียน (ด้วยความชอบ) สุดชีวิตแต่กลับได้รับประทานบีบวกมาแทน

เราแอบดีใจ ดีกว่าได้หัวข้อประเภท Do you like Vancouver…or something like that. มันไม่มีอะไรให้พูด
มาร์คบอกว่าเราสองคนต้องดิสคัสกัน คนหนึ่งเป็น pro อีกคนเป็น con แต่อย่าเอาแต่จ้องจะ interrupt หรือแย้งอีกฝ่ายจนเกินไป

โมฮัมหมัดก็ดีจริง...บอกว่า You choose and I’ll take the other.
จริงๆ คิดเหตุผลออกมากมายที่จะเป็น pro คือ agree แต่ท้ายที่สุดเราก็เลือกที่จะเป็นฝ่ายแย้ง ไม่เห็นด้วย โดยเลือกจากสามัญสำนึกล้วนๆ

สำนึกที่บอกว่าเราไม่มีสิทธิ์คร่าชีวิตใคร แม้แต่ชีวิตตัวเอง
เราก็เลยเปิดคอนเวอร์ด้วยการบอกว่า เรา disagree โดยให้เหตุผลว่า



อย่างแรกคือเราเป็นชาวพุทธ และชาวพุทธนี่จะเชื่อเรื่องคุณค่าของชีวิต
และการมีชีวิต เวียนว่ายตายเกิด เป็นเรื่องของ กรรม หรือ
Karma

และเราไม่มีสิทธิ์ที่จะดับชีวิตของใคร
ไม่ว่าจะด้วยเจตนาที่ดีแค่ไหนก็ตาม



โมฮัมหมัดก็เลยยกตัวอย่างคนที่ป่วยปางตาย สมองตาย ไม่รับรู้ ไม่สามารถทำอะไรได้ การที่ครอบครัวของผู้ป่วยยื้อไว้ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร


หรือบางทีเป็นความจำนงของผู้ป่วย เช่น ผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ไม่มีทางหาย ร่างกายหมดสภาพ ได้แต่นอนรอความตาย





เขายินดีจะจากไปเสียตอนนี้ ดีกว่าอยู่อย่างทรมาน หรือเป็นภาระให้กับ
“คนรอบข้าง”

เขามองไม่เห็นแสงสว่างใดๆ ในการมีชีวิตอยู่ อยู่ไปก็ไร้ค่า อยู่ไปก็สิ้นหวัง
ชีวิตของเรา เราเลือกจบมันเองได้ไม่ใช่หรือ




ต้องโทษโมฮัมหมัดที่เสียงช่างอ่อนนุ่ม ทุ้ม ฟังแล้วเราก็คล้อยตาม คือจริงๆ มันเป็นพอยท์ที่เราคิดไว้อยู่แล้วตอนอย่างจะเป็นโปร ก็เลยไม่รู้จะค้านอะไร
ตัวแต่คิดตาม...อินมาก เลยรู้สึกพอยท์ที่ตัวเองนำมาค้านมันดูไม่มีน้ำหนัก


ไม่คิดหรือว่าชีวิตเราถูกกำหนดมาแล้วว่าจะต้องเป็นมา และเป็นไปอย่างไร...




(เราใช้คำว่า our life has been already destined. ใช้โดยที่ไม่เคยใช้มาก่อน หวั่นๆ อยู่เหมือนกัน)




มันจะไม่ดีกว่าหรือที่จะใช้ชีวิตไปจนสุดปลายทางของมัน จนจบสิ้นกระบวนการแห่งชีวิต
ให้รู้ชีวิตอย่างที่มันเป็น แม้ว่ามันจะเลวร้าย เจ็บปวด
ทุกข์ทนสักเพียงใด

การเลือกจบชีวิตตัวเอง ให้คนอื่นทำให้ หรือตัดสินใจดับชีวิตคนอื่นเพราะกลัวเขาทรมาน
ก็คือการยอมพ่ายแพ้...แพ้อย่างที่ไม่คิดจะลุกขึ้นสู้อีก

อ่อนแอ...ขี้ขลาด



เราดูไม่วิชาการเท่าโมฮัมหมัดเลย ยิ่งพูดๆ เรายิ่งรู้สึกว่า ทำไมเราออกแนว spiritual ขึ้นเรื่อยๆ
ขณะที่อาหรับคนนี้ก็แสนจะ academic พูดถึงเรื่องการบริจาคอวัยวะ

อวัยวะของผู้ป่วยที่รู้ว่าไม่รอดแน่ สามารถเป็นประโยชน์ให้กับผู้ป่วยอื่นที่ต้องการอวัยวะ เป็นการช่วยชีวิตคนอื่น ได้บุญ
อีกทั้งยังเป็นประโยชน์ต่อวงการแพทย์ วงการวิทยาศาสตร์ ถ้าอวัยวะนั้นสามารถนำไปใช้ในการทดลอง อาจจะได้การคิดค้นวิธีการรักษาใหม่ๆ

อึ้ง...เพลินอึ้ง พอยท์โคตรดี เห็นด้วยสุดใจ



มาถึงตอนนี้ไอ้หนุ่มซาอุเริ่มพูดอะไรไม่รู้ ฟังไม่รู้เรื่อง พูดรัวยาวเป็นพรืด เงี่ยหูฟังแทบตายก็ไม่เข้าใจ ไอ้เสียงนุ่มทุ้มเมื่อกี้กลายเป็นเหมือนเสียงสวดมนต์
เอาไงดีละทีนี้
เราก็ยิ้มหวานสู้



You really make a good point. I like that. However, I’m thinking of some patients who are still conscious.



เห็นด้วยน้า แต่ถ้าคิดถึงคนป่วยที่ยังมีสติดีอยู่ ถึงแม้รู้ว่าจะต้องตาย ก็ยังสามารถใช้ความรู้ ความคิด ใช้สมองคิดอะไรให้เป็นประโยชน์ต่อคนอื่นได้
(ตอนนี้พูดมั่วมาก เพราะกำลังคิดถึงคาริล ยิบราล พยายามจะโยง แต่ไม่กล้า ไม่มั่นใจว่าจำถูกหรือเปล่า)
คือพยายามจะสื่อว่า พวกเขาสามารถใช้เวลาช่วงสุดท้ายของชีวิตในการคิดใคร่ครวญสิ่งที่มีประโยชน์ให้กับตัวเองได้



เคยได้ยินว่าคาริล ยิบราล เขาก็บอกว่าการที่ได้นอนนิ่งๆ เฉยๆ เพราะป่วยนี่เป็นโชคดี ทำให้เขาได้คิดไตร่ตรองอะไรหลายๆ อย่าง ทำให้เข้าใจโลก เข้าใจชีวิต
กลายเป็นปรัชญาเมธีคนหนึ่ง
ปัญหาคือ...เราจำไม่ได้ว่าเรื่องมันเป็นอย่างนี้จริงหรือเปล่า
คนๆ นั้นคือคาริล ยิบราลหรือเปล่า หรือเป็นใครที่ชื่อใกล้ๆ กันหรือเปล่า
จะ refer ถึงเขาก็กระไร เดี๋ยวหน้าแตก




เราก็พยายามจะสื่อว่า







เราสามารถ do the best you can and make the most of
it even you’re going to die. You die with dignity not like someone who gives up
easily.




เหมือนกลอนมั้ย
แต่เราก็พูดไม่ได้อย่างนี้ทีเดียวหรอกนะ จบพอยท์ห้วนๆ ยิ้มสู้อย่างเดียว
เจ็ดนาทีพอดิบพอดี หมดเวลา

มาร์คชอบมาก...

บอกว่าคุยกันได้อย่างเป็นธรรมชาติ และ รู้ได้ว่าเธอคิดตามไปด้วยตอนโมฮัมหมัดพูด ไม่ได้สักแต่จะพูดเรื่องของตัวเอง
ชอบที่เราเปิดเรื่องด้วยการอ้างอิงศาสนา และโอนอ่อนไปตามการสนทนา ไม่ too aggressive

ว้าว จริงเหรอ ดีใจจัง
คะแนนออกมาโอเคเลย ไม่ได้อยากโม้ แต่ได้มากกว่าโมฮัมหมัดหลายคะแนน ทั้งที่โมฮัมหมัดพูดเยอะกว่า พูดน่าเชื่อถือกว่ามาก
มาร์คบอกว่าเรา fluency กว่า…
บอกตรงๆ ว่า แปลกใจแต่ก็...ดีใจจัง

เราชอบหัวข้อนี้นะ Mercy Killing



ถ้าถามแบบไม่ต้องคิดว่าจะไปสอบ จะไปดีเบทกะใคร ถึงเราจะเชื่อว่า ทำด้วยเจตนาที่ดี มันก็ไม่เป็นไรก็จริง
แต่เอาเข้าจริง มันก็เป็นการปลิดชีวิตไม่ใช่หรือ

ไม่ว่าสมองจะตาย หรือโรคที่เป็นอยู่จะร้ายแค่ไหน แต่ once เราทำอะไรสักอย่างให้เขาต้องตาย…เราก็ฆ่าเขาอยู่ดีหรือเปล่า
ถึงสมองจะตาย แต่เขายังหายใจ...การที่เรา “หยุดลมหายใจ” ของเขา เราก็เป็นคนทำให้ชีวิตเขาจบลงอยู่ดี


เจตนาดี ผลกรรมอาจไม่แรงเท่าเจตนาชั่ว
แต่เราเปลี่ยนคำได้ด้วยหรือ


ชื่อมันก็บอก...การุณยฆาต...Mercy Killing

Mercy แต่ก็ kill
ต่อให้การุณย์ แต่ ฆาต ก็คือ “ฆ่า” อยู่ดีไม่ใช่หรือ

21 comments:

  1. Well done girl! I like your debate, and the topic sounds interesting unlike the italian speakienng dabate topics..those look dumbs ^^" nah it was fun if it wud have been without the old Carlo..btw i miss you na ja...I LOVE YOU AS ALWAYS XXXXX TC ja :)

    ReplyDelete
  2. Congratulation for your first post naja (",)

    ReplyDelete
  3. เฉียบคมมากจ้า

    ReplyDelete
  4. wow you made a beautiful believe about mercy killing naja
    Fortunately i agree with it wa...hahaha
    sometimes i think we would need to decide for other..and the point is ...i really can bear seeing the very suffering time of people i love... this is always lying deeply in everyone's mind...right?

    miss you ja

    ReplyDelete
  5. sorry i can't bear...that's wrong typing..

    ReplyDelete
  6. Well done girl! I like your debate, and the topic sounds interesting unlike the italian speakienng dabate topics..those look dumbs ^^" nah it was fun if it wud have been without the old Carlo..btw i miss you na ja...I LOVE YOU AS ALWAYS XXXXX TC ja :)

    ReplyDelete
  7. This comment has been removed by a blog administrator.

    ReplyDelete
  8. hello! Ploen how are you, ja? miss you na.

    ReplyDelete
  9. Your class seems very academic.
    Anyway, it's very nice to hear from you :)
    I wish I could go to Lush again to buy stuffs 555

    ReplyDelete
  10. U have made such a excellent point..

    Such an impressive one ja..

    mis mis

    ReplyDelete
  11. Finally, i could post a comment sa tee

    it took me so long na niaa

    btw, have fun there na jaa

    ReplyDelete
  12. i really like your post na ja
    it reminds me of life, that i have ignored.
    it reminds me of problems i am facing
    reminds me that at the end, we will die and my problem wouldn't be as hard as it seems

    Su tai na, and will come and read more ja ;)

    luv!!

    SOm

    ReplyDelete
  13. yah I like your post.
    It's interesting, I mean the way you wrote.

    ReplyDelete
  14. wow!
    you wrote wonderfully !!
    it's another part of you that i haven't met ^^

    ReplyDelete
  15. and about Kahlil Gibran
    I'm not sure neither darling --
    but i do admire his poems and novels since 15 years ago ^__^

    ReplyDelete
  16. หงส์ แอบมาอ่านหลังจากที่เห็นพี่เพลิน post ใน msn

    i really like it na ka...

    i like the way you wrote, like the way you think and the way you exposed it mak mak..

    you are so talented na ka...:DDD

    ReplyDelete
  17. haha it was difficult for me to give a comment. See? I am very low technology but still so impressed by your belief stated in this writing! You are awesome!

    ReplyDelete
  18. หญิงกล้วยMay 8, 2009 at 11:25 PM

    เจ๋งมากเพลิน

    เราชอบเรื่องนี้อยู่แล้ว

    เพลินเอามาถกประเด็นได้สนุกอ่ะ

    เราชอบ^^

    อัพบล็อกเรื่อยๆนะ

    เราจะตามอ่าน

    สนุกดี

    ReplyDelete
  19. ตามมาเม้นแล้วค๊าบบบ>o< บล็อกสวยมากเลยอ่ะค่ะพี่เพลินO o น่ารักอ่ะ> < 55+

    พี่เพลินเก่งมากมาย!! (จากที่อ่านข้างบน)
    วันหลังจะตามมาอ่านอีกนะคะ-..- หุหุหุ

    ReplyDelete
  20. พี่เพลินสวยอ่ะ อ๊าก 55+

    ฟ้าได้ความรุ้มากขึ้น เข้าใจมากขึ้น หลังจากได้อ่านเรื่องนี้

    ขอบคุนน๊ะคะ =]

    ReplyDelete